จีบ...สาวใบ้
ผู้เข้าชมรวม
102
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
จีบสาวใบ้
ถนนเจริญกรุง...เป็นถนนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2404 แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2407 มีความยาวจากถนนสนามไชยถึงดาว คะนอง การก่อสร้างถนนเจริญกรุงนั้น เนื่องจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวต่างประเทศเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มากขึ้น และมีพวกกงสุลได้เข้าชื่อกัน ขอให้สร้างถนนสายยาวสำหรับขี่ม้าหรือนั่งรถม้าตากอากาศและอ้างว่า “เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานครไม่มีถนนหนทางที่จะขี่รถม้าไปเที่ยว จึงพากันเจ็บไข้เนืองๆ”
เหตุที่ผมต้องเอาประวัติ มาเล่าให้ฟัง เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นับแต่ผมคุ้นเคยและสนิมสนม กับอาจารย์หมอ ธเนศ แม้ผมจะเป็นลูกศิษย์ ที่ไม่ได้เรียนทางวิชาการ กับอาจารย์โดยตรง แต่ผมก็มีส่วนได้ศึกษาด้านมหาลัยชีวิตและประสบการณ์ กับท่านเนืองๆ ...บ่อยครั้ง ที่เขามักจะชวนผม ไปโน่น..ไปนี่... ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพ หรือต่างจังหวัด เราเคยไปชลบุรี ราชบุรี ร้อยเอ็ด ฯลฯ และล่าสุดที่เจอกันที่นครปฐม ที่บ้านแถวพุทธมณฑล ซึ่งผมได้พักค้างคืนที่บ้านท่าน 1 คืน ท่านยังชวนผมไปเที่ยวเมืองกาญจน์ นครปฐม และจังหวัดใกล้เคียงซึ่งมี อ.บ้วน ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และวิทยุ เกี่ยวกับความรู้ด้านการเกษตร ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น สมัยเรียนกับอาจารย์ ร่วมเดินทางไปด้วย ด้วยผมมีภาระกิจสำคัญมากจริงๆ จึงไม่สามารถร่วมเดินทางไปได้ในวันดังกล่าว เนื่องจากติดการประชุมทางวิชาการที่ อำเภอธัญบุรีและเป็นตัวแทนของหน่วยงาน ให้มาร่วมงานเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ 5 ธันวาคม
จากที่ผมเริ่มคุ้นเคยสนิทสนมกับอาจารย์หมอ ดูเหมือนว่าท่านจะรู้อุปนิสัย รู้ใจ ในเรื่องปฏิภาณไหวพริบ ในตัวผม.. เสน่ห์ในตัวผม ที่อาจารย์ชอบ คือ ผมชอบร้องเพลง เล่นดนตรี ชอบอ่านหนังสือ ผมชอบงานด้านศิลปะ และสนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทุกครั้งเมื่อพวกเรา ดื่มเหล้า เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ในวงเหล้า...เพื่อนๆ ผมไม่ค่อยมีใครลึกซึ้งเรื่องที่จะพูดคุยกันกับอาจารย์ ผมสามารถตอบคำถาม และเสริมต่อได้ทุกเรื่องกับท่าน มันจึงสนุก และรู้คอกัน ท่านจึงมักชวนผมไปไหนๆ มากกว่าใครในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ท่านสอน
...............................
บ่ายสองโมงกว่าๆ วันหนึ่ง ผมแวะไปเที่ยวหาอาจารย์ เพื่อไปเยี่ยมเยียนท่านที่ห้องพักครู บริเวณคอกไก่ ท่านเรียกให้ผมนั่งเก้าอี้ พร้อมเอ่ยปากพูดว่า
“เย็นนี้ ขลุ่ย ว่างมั้ย เดี๋ยวจะชวนไป นั่งย้อนรอยประวัติศาสตร์ ยุครัชกาลที่ห้า..”
“ว่างครับ” ผมตอบอย่างไม่ลังเล
“งั้นเย็นนี้...สักสี่โมง เดี๋ยวไปรอผม ที่สถานีรถไฟ เดี๋ยวเราจะขึ้นรถไฟ ลงที่สถานีหัวลำโพง...กัน” อ. ธเนศ พูด
“ครับ” ผมรับปากกับอาจารย์
จนใกล้สี่โมงเย็น ผมได้ไปนั่งรอที่สถานีรถไฟหัวตะเข้ และได้ซื้อตั๋วรถรอไว้ก่อน ในยุคนั้นอาจารย์ท่านตีตั๋วเดือนไว้แล้ว เมื่อรถไฟขบวนเที่ยวแปดริ้วเข้าถึงชานชลาหัวตะเข้ เพื่อเข้ากรุงเทพ นักศึกษาจากสถาบันฯ พระจอมเกล้าทุกคน ที่รอจะขึ้น จะมุ่งหน้าไปตามโบกี้ต่างๆ ที่ว่าง ส่วนมากที่นั่งในโบกี้ต่างๆ มักจะไม่ว่าง เขาเหล่านั้น ต่างก็ยืนจับกลุ่มข้างที่นั่งที่ผู้โดยสารนั่งบ้าง ยืนจับห่วงที่ห้อยลงมาจากเพดานตู้รถไฟบ้าง ยืนตรงรอยต่อระหว่างโบกี้บ้าง และยืนบริเวณทางขึ้นลงบ้าง
ระฆัง.....ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้รถเคลื่อนขบวน นายสถานี สับธงแดงลง และ ให้สัญญาญธงเขียว พนักงานขับรถไฟ เปิดหวูด พนักงานเอาประแจ เสียบลงบนเสาทางออกด้านซ้ายมือ ซึ่งมันเป็นกฎระเบียบของการรถไฟ เจ้าหน้าที่วิทยุรถไฟ แจ้งสถานีถัดไป ได้รู้ว่ารถเคลื่อนขบวนแล้ว
เสียงล้อที่ค่อยๆ เคลื่อน ดังเอี๊ยดๆ อี๊ดๆ พร้อมเสียง ชึ่กๆๆๆ ชั่กๆๆๆ รถไฟเร่งความเร็วขึ้นๆ ตามลำดับ จากสถานีหัวตะเข้ สู่ลาดกระบัง ทับช้าง หัวหมาก คลองตัน มักกะสันและสุดปลายทาง หัวลำโพง เมื่อรถชะลอตัวและจอดสนิทแล้ว ผมกับอาจารย์ก้าวเท้าเดินลงจากรถไฟแบบไม่รีบร้อนอะไร อาจารย์พาผมเดินไปยังรถเก๋งส่วนตัว เมื่อเปิดล๊อครถแล้ว ท่านก็เปิดประตูฝั่งซ้าย ให้ผมได้เข้าไปนั่ง รถสตาร์ทแล้ว ถอยหลังออกจากซอง จากนั้นก็มุ่งหน้ามาที่วัดสุทัศน์ (เสาชิงช้า) หาที่ว่างเพื่อจอดรถ เมื่อได้ที่จอดรถแล้ว เราสองคน ก็เดินมุ่งหน้ามาที่ถนนเจริญกรุง
“เดี๋ยวเราจะเดินเลาะ แถวศาลเจ้าพ่อเสือ เข้าถนนตรีทอง แล้วเข้าสู่ถนนเจริญกรุง สูดกลิ่นไอสมัยรัชการที่ 5 กันนะ ขลุ่ย” อาจารย์พูด
“ครับ”
ช่วงหนึ่งใกล้ศาลเจ้าพ่อเสือ ที่ยังมีรางรถรางเก่าอยู่ ท่านได้อธิบายว่า...
“ในสมัยก่อนฝรั่งชาติเดนมาร์กคนหนึ่ง คือ นายจอห์น ลอฟตัล ได้ขออนุญาตต่อรัฐบาลทำสัมปทานการรถราง ร.5 มีพระบรมราชานุญาตให้ ดำเนินการได้ ด้วยพระองค์มีพระราชประสงค์จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า”
เราสองคน เดินคุยพลางชี้มือพลาง พร้อมจินตนาการไป เพราะในยุคสมัยเรานั้น เกิดไม่ทัน แต่ด้วยเรามีอะไรที่คล้ายๆ ในการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ จึงเดินคุยกันอย่างเพลิดเพลิน จนมาถึงถนนเจริญกรุง ซึ่งมันผสมผสานกันระหว่างยุคดั้งเดิมกับยุคปัจจุบัน ในภาพที่เห็นอยู่นี้คือ ของจริงบนถนนเจริญกรุง ที่ผมกับอาจารย์หมอ ไปเดินสำรวจ และไปยืนชี้มือชี้ไม้ ดังกับนักประวัติศาสตร์ จนใครๆ ที่เดินผ่านไปมา ต้องเหลียวหลังมาดู เดินกันเหนื่อย จนเหงื่อท่วมตัว จวนเจียนหกโมงเย็น ที่รู้เวลาเพราะอาจารย์ยกข้อมือที่มีนาฬิกาขึ้นมาดู และบอกให้ผมทราบ
“เดี๋ยวเราไปหาข้าวกินที่ฝั่งตรงกันข้าม กับอาคารเก่าแถวนี้ แล้วเราจินตนาการว่า เรากำลังอยู่ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5”
“ครับ”
ผมรู้สึกประทับใจ ที่ได้มาย้อนรอย ยุคประวัติศาสตร์ ในสมัยรัชการที่ 5
จากนั้นเราก็เดินข้ามถนนมา ..อาคารฝั่งนี้ เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้น ยาวติดต่อกัน ช่างเป็นความโชคดี ที่ร้านอาหาร ที่เราต้องการจะรับประทาน มันไม่ไกลมากนัก ร้าน (ข้าวแกง) ที่เราเข้าไปนั่งมี 1 คูหา ด้านหน้าเป็นชั้นวางกับข้าว มีกระจกครอบกันแมลงวันดูสะอาดตา ภายในอาคารทาสีฟ้า ด้านในมีโต๊ะนั่งประมาณ10 โต๊ะ มีพัดลมติดด้านข้างและติดบนเพดาน พวกเราเลือกมุมข้างหน้าติดถนน เพราะจะได้ชมบรรยากาศ และจินตนาการ ว่าเรากำลังอยู่ในยุครัชกาลที่ 5 จริงๆ เมื่อเลือกมุมสงบได้ อาจารย์หมอหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านฆ่าเวลาก่อน
...ผมเดินไปที่ตู้กับข้าว .เพื่อจะเลือกกับข้าว…
“ในตู้กับข้าว มีอะไรน่ากินบ้าง...” อ.ธเนศ ตะโกนสอบถามรายการอาหาร
“มีกว่า 10 ชนิดครับ อาจารย์...”
“ยกตัวอย่าง ซิ”
“ไก่ผัดขิง ผัดเผ็ดปลาดุก ไข่พะโล้ แกงเขียวหวาน แกงส้ม ต้มมะระยัดไส้ และ ปลาทอด ครับ ผมตั้งใจจะสั่งผัดเผ็ดปลาดุก ไข่พะโล้ ต้มมะระยัดไส้ และปลานิลทอด” ผมตอบ
“ตามนั้นเลย ขลุ่ย “อ. ธเนศ บอก
ช่วงที่เข้าไปนั่งในร้าน.. เห็นมีเพียงหญิงสาวน่าตาดี กำลังล้างจาน อย่างขมีขมัน เธอ ไม่ได้ใส่ใจ กับลูกค้าที่เพิ่งเข้าไปนั่งเลยแม้แต่น้อย เรามองหน้ากัน และฉงนใจว่า ร้านนี้ดูแปลกจัง ทำไมคนขายในร้าน จึงไม่มาสอบถาม ว่าเราต้องการจะสั่งอะไรกิน เหมือนร้านทั่วไป ที่เราเคยไปกิน
เรายังก็คงนั่งคุยกัน เรื่องสมัยรัชกาลที่ 5 ว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคนั้น ผมมองเห็นแก้วน้ำ กระติกน้ำแข็งพลาสติก คูลเลอร์ วางไว้ที่มุมหนึ่ง ในฐานะที่ผมเป็นเด็ก จึงต้องทำหน้าที่ให้บริการอาจารย์และตัวเอง ผมหยิบแก้วน้ำแล้วเปิดก๊อกคูลเลอร์ จนน้ำเกือบเต็มแก้ว แล้วนำมาเสิร์ฟ ให้อาจารย์ ผมจิบน้ำพลัน ตามองไปสาวคนดังกล่าว จากนั้นเดินไปที่ตู้กับข้าวอีกหลายครั้ง เธอก็คงล้างจานดังทองไม่รู้ร้อน แม้เราทั้งสองจะเรียก จะตะโกน จะแซว อย่างไร หาได้มีปฎิกิริยาใดๆๆ กลับมาเลย
“..คนสวย ขอข้าวเปล่า 2จาน ไข่พะโล้ ต้มมะระ ผัดเผ็ดปลาดุก และ ปลาทอด อย่างละที่”
“คนสวย... กินวันนี้ เดี๋ยวนี้ .นะจ๊ะ...”
แม้จะพูดอะไร แซวหนักๆ อย่างไร ก็ไม่มีปฎิกิริยาใดๆ จากเธอ หากจะบอกว่านับแต่ไปจีบสาวๆ ในหัวตะเข้ตามร้านข้าวแกง ร้านแถวหนองจอกและที่อื่นๆ มา หากเราไม่โดนค้อนจากคนขาย ดีไม่ดีอาจถูกตะเพิดให้ออกจากร้าน ต้องบอกว่าเราทั้งสอง มองตรงกันว่าเธอคนนี้สวยมาก หุ่นดี เราพอใจ ตรงนี้ ผมคงถอนตัวในการเป็นคู่แข่งจีบสาว คนนี้ (ผมคิด) เพราะมองว่าเธอหยิ่งมากเกินไป
เสียงน้ำประปาที่เปิดไหลจนล้น อ่างล้างจาน....กว่า 15 นาที...ยังดังเป็นระยะ ๆ นับแต่เข้ามานั่งในร้านนี้ ผมและอาจารย์ ไม่ได้ยินเสียง คำพูดคำจา คำทักทายของเธอเลยสักแอะ
...ผมเริ่มเกิดความรู้สึกในทางไม่ดีกับเธอแล้ว...
“คนสวยนี่ ท่าจะหยิ่งมากเลยนะครับอาจารย์ ทำไมเขาจึงเล่นตัว เหลือเกินนะ” ผมพูดกับอาจารย์ จากนั้นผมได้เดินออกไปยังตู้กับข้าวอีกครั้ง ที่ข้างร้านขายข้าวแกง เป็นร้านขายอะไหล่ รถยนต์ มีชายสองคน ซึ่งเห็นเราเข้าไปในร้านพักนึงแล้ว คงสังเกต เห็นว่าผมมายืนที่ตู้กับข้าวหลายครั้งแล้ว จึงเดินมาหาผมแล้วบอกว่า
“ผู้หญิงคนนี้แกเป็นใบ้น่ะ คุณจะสั่ง จะตะโกนสั่ง แกไม่ได้ยินหรอก”
ผมกับอาจารย์ ถึงบางอ้อ พร้อมกัน “..อ้อ เป็นอย่างนี้...นี่เอง” เรายิ้มให้กัน หลังจากได้ข้าวปลามารับประทานจนอิ่ม สิ่งที่ฝัน และวางแผนจะมาจีบสาวคนนี้ เป็นต้องยกเลิกไปโดยดุษฎี อาหารมื้อนี้ อิ่ม อร่อย เป็นสุข ในบรรยากาศ ยุครัชกาลที่5 ร่วมสมัยรัชกาลที่ 9 ที่สุดประทับใจ
นี่คือประสบการณ์ชีวิตในครั้งหนึ่ง เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ที่เป็นเรื่องจริงที่ขอนำมาเล่า เพื่อความบันเทิงและความสนุกอีก ทั้งสอดแทรกเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ในอดีต ปัจจุบัน อ.ธเนศ ผู้ซึ่งพาผมย้อนรอยประวัติศาสตร์ ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว
ขลุ่ย บ้านข่อย
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ่ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ่ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น